เมนู

วิมังสาสมาธิและปธานสังขารนี้นั้นแล อันเราควรเจริญ . . . อิทธิบาทอัน
ประกอบด้วยวิมังสาสมาธิและปธานสังขารนี้นั้นแล อันเราเจริญแล้ว.
จบญาณสูตรที่ 9

10. เจติยสูตร



เจริญอิทธิบาท 4 ทำให้อายุยืน



[1123] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ อยู่ ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน
ใกล้กรุงเวสาลี ครั้งนั้นเป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนุ่งแล้ว ทรงถือ
บาตรและจีวร เสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังกรุงเวสาลี ครั้นเสด็จเที่ยวบิณฑบาต
แล้ว เวลาปัจฉาภัต เสด็จกลับจากบิณฑบาตแล้ว ตรัสเรียกท่านพระอานนท์
มาตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ เธอจงถือเอาผ้านิสีทนะ เราจะเข้าไปยังปาวาลเจดีย์
เพื่อพักผ่อนในตอนกลางวัน ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าแล้ว ถือผ้านิสีทนะตามพระผู้มีพระภาคเจ้าไปทางเบื้องพระปฤษฏางค์.
[1124] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปยังปาวาลเจดีย์
ประทับนั่งบนอาสนะที่ท่านพระอานนท์ปูถวาย ส่วนท่านพระอานนท์ถวายบังคม
พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
กะท่านพระอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์ กรุงเวสาลีเป็นที่น่ารื่นรมย์ อุเทนเจดีย์ก็
เป็นที่น่ารื่นรมย์ โคตมกเจดีย์ก็เป็นที่น่ารื่นรมย์ สัตตัมพเจดีย์ก็เป็นที่น่ารื่นรมย์
พหุปุตตกเจดีย์ก็เป็นที่น่ารื่นรมย์ สารันททเจดีย์ก็เป็นที่น่ารื่นรมย์ ปาวาลเจดีย์
ก็เป็นที่น่ารื่นรมย์ อิทธิบาท 4 อันผู้ใดผู้หนึ่งเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว

กระทำให้เป็นดุจยาน กระทำให้เป็นที่ตั้ง ให้คล่องแคล่วแล้ว สั่งสมแล้ว ปรารภ
ดีแล้ว ผู้นั้น เมื่อจำนงอยู่พึงดำรงอยู่ได้กัปหนึ่ง หรือเกินกว่ากัปหนึ่ง ดูก่อน
อานนท์ อิทธิบาท 4 อัน ตถาคตเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว กระทำให้
เป็นดุจยาน กระทำให้เป็นที่ตั้ง ให้คล่องแคล่วแล้ว สั่งสมแล้ว ปรารภดีแล้ว
ตถาคตนั้น เมื่อจำนงอยู่ พึงดำรงอยู่ได้กัปหนึ่งหรือเกินกว่ากัปหนึ่ง.
[1125] แม้เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำนิมิตอันโอฬาร กระ-
ทำโอภาสอันโอฬารอย่างนี้ ท่านพระอานนท์ก็มิอาจรู้ทัน จึงมิได้ทูลวิงวอนพระ
ผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงทรงดำรง
อยู่ตลอดกัปหนึ่ง ขอพระสุคตจงทรงดำรงอยู่ตลอดกัปหนึ่ง เพื่อประโยชน์สุข
แก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ดังนี้ เพราะถูกมารเข้าดลใจ.
[1126] แม้ครั้งที่ 2 แม้ครั้งที่ 3 พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสกะ
ท่านพระอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์ เมืองเวสาลีเป็นที่น่ารื่นรมย์. .. ตถาคต
นั้น เมื่อจำนงอยู่พึงดำรงอยู่ได้กัปหนึ่งหรือเกินกว่ากัปหนึ่ง.
[1127] แม้เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำนิมิตอันโอฬาร กระทำ
โอภาสอันโอฬารอย่างนี้ ท่านพระอานนท์ก็มิอาจรู้ทัน จึงมิได้ทูลวิงวอนพระ
ผู้มีพระภาคเจ้า. . . เพราะถูกมารเข้าดลใจ.
[1128] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะท่านพระอานนท์ ว่า
เธอจงไปเถิด อานนท์ เธอรู้กาลอันควรในบัดนี้เถิด ท่านพระอานนท์ทูลรับ
พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ลุกจากอาสนะถวายบังคมพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า กระทำประทักษิณแล้ว ไปนั่ง ณ โคนไม้แห่งหนึ่งในที่ไม่ไกล.
[1129] ครั้งนั้น มารผู้มีบาป เมื่อท่านพระอานนท์หลีกไปแล้ว
ไม่นาน เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ แล้วยืน ณ ที่ควรส่วน

ข้างหนึ่ง ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจง
ปรินิพพานในบัดนี้เถิด ขอพระสุคตจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด บัดนี้ เป็น
เวลาปรินิพพานของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระดำรัส
นี้ว่า ดูก่อนมารผู้มีบาป ภิกษุสาวกของเราจักยังไม่เฉียบแหลม ไม่ได้รับ
แนะนำ ไม่แกล้วกล้า ไม่เป็นพหูสูต ไม่ทรงธรรม ไม่ปฏิบัติธรรมสมควร
แก่ธรรม ไม่ปฏิบัติชอบ ไม่ประพฤติตามธรรม เรียนกับอาจารย์ตนแล้ว
ยังบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ง่ายไม่ได้
ยังแสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ข่มขี่ปรัปปวาทที่บังเกิดขึ้นให้เรียบร้อยโดยสหธรรม
ไม่ได้ เพียงใด เราจักยังไม่ปรินิพพาน เพียงนั้น ดังนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ก็บัดนี้ ภิกษุสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้เฉียบแหลมแล้ว ได้รับแนะนำ
แล้ว แกล้วกล้า เป็นพหูสูต ทรงธรรม ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบ
ประพฤติตามธรรรม เรียนกับอาจารย์ของตนแล้ว บอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง
เปิดเผย จำแนก กระทำให้ง่ายได้ แสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ข่มขี่ปรัปปวาทที่
บังเกิดขึ้นให้เรียบร้อยโดยสหธรรมได้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มี
พระภาคเจ้าทรงปรินิพพานในบัดนี้เถิด ขอพระสุคตจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด
บัดนี้ เป็นในเวลาปรินิพพานของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
[1130] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระ-
ดำรัสนี้ไว้ว่า ดูก่อนมารผู้มีบาป ภิกษุณีสาวิกาของเราจักยังไม่เฉียบแหลม . . .
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็บัดนี้ ภิกษุณีผู้เป็นสาวิกาของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็น
ผู้เฉียบแหลมแล้ว. . . แสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ข่มขี่ปรัปปวาทที่บังเกิดขึ้นให้
เรียบร้อยโดยสหธรรมได้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจง
ทรงปรินิพพานในบัดนี้เถิด ขอพระสุคตจงทรงปรินิพพานในบัดนี้เถิด บัดนี้
เป็นเวลาปรินิพพานของพระผู้มีพระภาคเจ้า.

[1131] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระ-
ดำรัสนี้ไว้ว่า ดูก่อนมารผู้มีบาป อุบาสก ฯลฯ อุบาสิกาสาวิกาของเราจักยัง
ไม่เฉียบแหลม ไม่ได้รับแนะนำ ไม่แกล้วกล้า ไม่เป็นพหูสูต ไม่ทรงธรรม
ไม่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ไม่ปฏิบัติธรรม ไม่ประพฤติธรรม เรียน
กับอาจารย์ของตนแล้ว ยังบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก
กระทำให้ง่ายไม่ได้ ยังแสดงธรรมมีปาฏิหารย์ข่มขี่ปรัปปวาทที่บังเกิดขึ้นให้
เรียบร้อยโดยสหธรรมไม่ได้ เพียงใด เราจักยังไม่ปรินิพพาน เพียงนั้น ดังนี้
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็บัดนี้ อุบาสิกาสาวิกาของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้
เฉียบแหลมแล้ว ได้รับแนะนำแล้ว แกล้วกล้า เป็นพหูสูต ทรงธรรม
ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบ ประพฤติตามธรรม เรียนกับ
อาจารย์ของตนแล้ว บอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก
กระทำให้ง่ายได้ แสดงธรรมมีปฏิหาริย์ข่มขี่ปรัปปวาทที่บังเกิดขึ้นให้เรียบร้อย
โดยสหธรรมได้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงปรินิพพาน
ในบัดนี้เถิด ขอพระสุคตจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด บัดนี้ เป็นเวลาปรินิพพาน
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
[1132] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระ-
ดำรัสนี้ไว้ว่า ดูก่อนมารผู้มีบาป พรหมจรรย์ของเรานี้ จักยังไม่สมบูรณ์
แพร่หลาย กว้างขวาง รู้กันโดยมาก แน่นหนา (มั่นคง) จนกระทั่งพวก
เทวดาและมนุษย์ประกาศได้ดีแล้ว เพียงใด เราจักยังไม่ปรินิพพาน เพียงนั้น
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็บัดนี้ พรหมจรรย์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าสมบูรณ์แล้ว
แพร่หลาย กว้างขวาง รู้กันโดยมาก แน่นหนา (มั่นคง) จนกระทั่งพวก
เทวดาและมนุษย์ประกาศได้ดีแล้ว ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า

จงปรินิพพานในบัดนี้เถิด ขอพระสุคตจงปรินิพพานในบัดนี้ เถิด บัดนี้ เป็น
เวลาปรินิพพานของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
[1133] เมื่อมารกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัส
ตอบว่า ดูก่อนมารผู้มีบาป ท่านจงมีความขวนขวายน้อยเถิด การปรินิพพาน
แห่งตถาคตจักมีในไม่ช้า แต่นี้ล่วงไปอีก 3 เดือนตถาคตจักปรินิพพาน.
[1134] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระสติสัมปชัญญะ
ทรงปลงอายุสังขาร ณ ปาวาลเจดีย์ และเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปลง
อายุสังขารแล้ว ได้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ และเกิดขนพองสยองเกล้าน่าพึงกลัว
ทั้งกลองทิพย์ก็บันลือลั่น.
[1135] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว
ทรงเปล่งพระอุทานนี้ในเวลานั้น ความว่า
มุนี เมื่อเทียบเคียงนิพพาน และภพ
ได้ปลงเสียแล้วซึ่งธรรมอันปรุงแต่งภพ
ยินดีแล้วในภายใน มีจิตตั้งมั่นแล้ว ได้
ทำลายแล้วซึ่งข่าย คือกิเลสอันเกิดในตน
เปรียบดังเกราะ.

จบเจติยสูตรที่ 10
จบปาวาลวรรคที่ 1

อรรถกถาเจติยสูตร



สูตรที่ 10.

คำว่า นิสีทนํ คือ หมายเอาท่อนหนัง. ท่านเรียกวัด
ที่สร้างไว้ที่เจดีย์สถานของอุเทนยักษ์ว่า อุเทนเจดีย์. แม้ใน โคตมกเจดีย์
เป็นต้นก็นัยเดียวกันนี้เอง. คำว่า ภาวิตา คือ อันเจริญแล้ว . คำว่า
พหุลีกตา คือ ที่กระทำเรื่อย ๆ ไป. คำว่า ทำให้เป็นดุจยาน คือ
ทำให้เหมือนยานที่เทียม (โคไว้ที่แอก) แล้ว. คำว่า ทำให้เป็นที่ตั้ง คือ
ทำให้เหมือนเป็นวัตถุ เพราะอรรถว่าเป็นที่ตั้ง. คำว่า ให้คล่องแคล่วแล้ว
คืออันมั่นคงยิ่ง. คำว่า อันสั่งสมแล้ว ได้แก่ สั่งสมไว้โดยทุกด้าน คือ
อันเจริญดีแล้ว. คำว่า อันปรารภดีแล้ว คือ ที่เริ่มไว้แล้วเป็นอย่างดี.
ครั้นตรัสโดยไม่ชี้ชัดลงไปอย่างนี้แล้ว เมื่อจะทรงแสดงชี้ชัดลงไป
อีกครั้ง จึงตรัสคำว่า ตถาคตสฺส โข ดังนี้เป็นต้น. และในคำเหล่านี้
คำว่า กัป หมายเอาอายุกัป (กำหนดอายุ). ในกาลนั้น อันใดเป็นประมาณ
อายุของพวกมนุษย์ บุคคลพึงทำประมาณอายุนั้นให้บริบูรณ์ดำรงอยู่. คำว่า
กปฺปาวเสสํ คือ หรือเกินร้อยปีที่ตรัสว่า กัปหรือเกิน. ฝ่ายท่านพระมหาสิว
เถระ กล่าวว่า สำหรับพระพุทธเจ้าทั้งหลายแล้ว ย่อมไม่มีการคุกคามในสิ่ง
ที่เป็นไปไม่ได้ ก็เหมือนเมื่อทรงข่มเวทนาปางที่แทบจะสิ้นพระชนม์ที่เกิดขึ้น
ในหมู่บ้าน เวฬุวะ (เวฬุวคาม) ตั้งสิบเดือน นั่นแหละ ฉันใด ก็ฉันนั้น
เมื่อทรงเข้าสมาบัตินั้นบ่อยๆ พึงข่มไว้ได้เป็นสิบเดือน ก็จะพึงทรงดำรงอยู่ได้
ตลอดภัทรกัปนี้ทีเดียว.